วิธีการปลูก

โดยทั่วไปแล้วกิ่งพันธุ์มะม่วงที่จะนำมาปลูกนิยมปลูกจากกิ่งทาบ ดังนั้นการปลูกก็ควรให้รอยทาบอยู่ในระดับผิวดิน ข้อควรระวังสำหรับการปลูกด้วยกิ่งทาบคือ พลาสติกที่พันรอยทาบอยู่นั้นอย่าปล่อยทิ้งไว้ เมื่อต้นมะม่วงเริ่มมีการขยายตัวของกิ่ง ผ้าพลาสติกนี้จะจมหายไปในเนื้อไม้ และมักพบเสมอว่าต้นมะม่วงจะแห้งตายไปเฉยๆ เนื่องจากระบบการส่งอาหารไปเลี้ยงส่วนรากถูกขัดขวางโดยผ้าพลาสติกที่รัดเข้าไปนี้ ทำให้รากไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ จนเซลล์ของรากตายไป มะม่วงจะแสดงอาการออกมาในลักษณะยืนต้นแห้งคล้ายขาดน้ำ สิ่งที่ต้องระมัดระวังอีกอย่างคือ ตรงบริเวณรอยทาบจะเป็นจุดที่อ่อนแอมากจุดหนึ่ง เนื่องจากรอยที่ทาบเอาไว้นี้เนื้อไม้เพิ่งจะเริ่มประสานกันเท่านั้น ความกลมกลืนของเนื้อไม้จึงยังมีไม่มากนัก และหากสิ่งใดมากระทบ อาจจะทำให้รอยทาบแยกออกจากกันได้ ทำให้กิ่งพันธุ์นี้หมดสภาพที่จะใช้ปลูกได้ทันที



 
การนำกิ่งพันธุ์มะม่วงมาปลูก หากกิ่งพันธุ์อยู่ในถุงพลาสติกแล้ว ให้ยกทั้งถุงลงตั้งในหลุมก่อน กรีดแกะถุงพลาสติกเพื่อป้องกันรากของกิ่งพันธุ์กระเทือน แต่ถ้าเป็นกิ่งพันธุ์ในกระถางก็ให้นำกระถางไปแช่น้ำสักครู่หนึ่งแล้วจึงยก กระถางเอียงขึ้น ใช้นิ้วหัวแม่มือดันตรงรูก้นกระถาง กระถางจะร่อนออกมาเอง แล้วจึงค่อยๆ ยกลงปลูกในหลุม ในการวางกิ่งพันธุ์ลงหลุมปลูกนั้น ควรให้ส่วนโคนรากอยู่ในระดับผิวดินเช่นเดียวกันกับเมี่ออยู่ในถุงพลาสติก หรือในกระถาง อย่าให้ลึกหรือตื้นจนเกินไป ต้นมะม่วงที่ปลูกในระดับพอดีจะมีการเจริญเติบโตแข็งแรงดีกว่าต้นที่ปลูกลึก หรือตื้นกว่าระดับปกติ เมื่อวางกิ่งพันธุ์ลงไปในหลุมแล้ว ให้ใช้มือกดบริเวณโคนต้นให้ดินกระชับราก แต่ไม่ต้องแน่นมาก อาจจำเป็นต้องปักหลักใกล้ๆ ต้นมะม่วง แล้วผูกต้นมะม่วงยึดติดกับหลักเพื่อป้องกันลมโยก จากนั้นจึงรดน้ำให้ชุ่ม และควรคลุมหน้าดินบริเวณโคนด้วยต้นหญ้าหรือใบไม้แห้ง เพื่อช่วยรักษาความชื้น

การปลูกมะม่วงควรทำในช่วงต้นฤดูฝน เพราะตันจะมีเวลาเจริญเติบโตได้นานพอกว่าจะถึงฤดูแล้ง การปลูกมะม่วงนี้แม้ในระยะฤดูฝน หากฝนทิ้งช่วงนานควรให้น้ำ โดยเฉพาะช่วงแล้งหลังฤดูฝนจนถึงต้นฤดูฝนใหม่ ควรมีการให้น้ำทุก 7-14 วัน เมื่อพ้นช่วงแล้งปีแรกไปแล้ว ปีต่อไปมะม่วงก็สามารถช่วยตัวเองได้


ขอขอบคุณที่มา | www.phtnet.org