ลักษณะการเตรียมพื้นที่

การปลูกมะม่วงในพื้นที่ลุ่ม

ในสภาพพื้นที่ลุ่มมักจะเป็นพื้นที่ที่น้ำท่วมถึงอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะในระยะฤดูที่มีปริมาณน้ำฝนมากและมีน้ำหลาก เช่น แถบจังหวัดในภาคกลาง หรือจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพมหานคร มักจะพบกับปัญหานี้ ดังนั้นการปลูกมะม่วงในพื้นที่แถบนี้จึงมักกระทำกัน 2 วิธีคือ
1. ยกโคกปลูกแบบจอมปลวก อาจจะยกโคกปลูกในนาหรือปลูกมะม่วงตามคันนาก่อน เมื่อต้นมะม่วงมีขนาดใหญ่ขึ้นก็เสริมดินบริเวณโคนต้นให้กว้างขึ้นคล้ายจอม ปลวก การเสริมดินมักจะทำกันในช่วงต้นฝนหรือหลังจากการเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว วิธีนี้จะประหยัดต้นทุนในการดำเนินการในระยะแรก แต่ถ้าเสริมดินในภายหลังน้อย จะทำให้ต้นมะม่วงไม่โตเท่าที่ควร เนื่องจากในช่วงแล้วน้ำไม่พอหล่อเลี้ยงต้น ดินจะเกิดการแตกระแหง รากบริเวณผิวดินมักขาดอยู่เสมอ ต้นจึงมักไม่ค่อยโต นอกจากนี้ถ้าเข้าฤดูน้ำหลากก็จะทำให้น้ำท่วมราก เป็นผลให้มะม่วงตายได้ถ้าน้ำขัง

2. ยกเป็นแปลงปลูก โดยมีร่องระบายน้ำระหว่างแปลงและมีแนวคันดินป้องกันน้ำท่วม วิธีนี้การลงทุนในช่วงแรกจะสูงและเสียพื้นที่ปลูกไปบ้าง เพราะต้องเอาพื้นที่มาเป็นร่องน้ำและคันสำหรับกันน้ำท่วม ในเวลาฝนตกต้องคอยกันน้ำเข้า หรือต้องเสริมดินบนคันกั้นน้ำเสมอ แต่มีข้อดีคือ มีน้ำชลประทานที่เพียงพอตลอดปีตามที่ต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ มะม่วงกำลังออกดอกติดผล เพราะฉะนั้น การควบคุมปริมาณน้ำจึงทำได้ง่ายเป็นผลให้มะม่วงติดผลมากขึ้น

ขนาดร่องแปลงสำหรับการปลูกมะม่วงในที่ลุ่มนี้แปลงปลูกควรจะกว้างประมาณ 8 เมตร ร่องน้ำกว้างประมาณ 2 เมตร ส่วนคันดินโอบด้านบนควรกว้างประมาณ 4 เมตร เมื่อเวลาน้ำหลากมามากจะได้ใช้ดินจากคันดินด้านในไปเสริมขอบนอกให้สูงขึ้นได้ และคันดินโอบด้านบนควรให้สูงมากกว่าระดับน้ำสูงสุดที่เคยมีมามากอย่างน้อย 25 เซนติเมตร โดยคันดินโอบด้านบน บ้างครั้งก็ทำเป็นถนน และอาจมีประตูน้ำสำหรับระบายน้ำเข้าออกจากสวน หรือใช้สูบออกในฤดูฝนตกมาก น้ำมามาก กันน้ำท่วม


การปลูกมะม่วงในที่ดอน
 
การทำสวนแบบนี้จะมีการลงทุนในระยะแรกต่ำ แต่ถ้าไม่มีน้ำชลประทานให้จะให้คุณภาพและผลผลิตของมะม่วงต่ำ ถ้าสามารถเลือกที่ดอนแต่สามารถใช้น้ำชลประทานได้ จะเป็นการดียิ่ง การทำสวนมะม่วงในที่ดอนจะดีกว่าในที่ลุ่ม เนื่องจากดินมีการระบายน้ำดีกว่า นอกจากนี้แล้วการออกดอกจะง่ายกว่าที่ลุ่ม และยังสามารถใช้เครื่องมือหรือเครื่องทุนแรงช่วยการปฏิบัติงานในการดูแลรักษา การเก็บเกี่ยว เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


ขอบคุณที่มา | www.phtnet.org